刀剣乱舞.
Touken Ranbu FanFiction
Rate : PG-15
Genre : AU , Fantasy , Gender Bend
Pairing : 鳴狐 x 小狐丸 / NakiKogi / なきこぎ
NOTE :
Gender Bend คือ ตัวละครเปลี่ยนจากเพศเดิม ชายกลายเป็นหญิง หญิงกลายเป็นชาย ไม่ใช่เปลี่ยนแค่รูปร่าง แต่กลายเป็นอีกเพศไปเลยจริงๆ
ฟิคนี้เป็นซีรีส์เกี่ยวกับตำนานสัตว์เทพและย้อนยุคญี่ปุ่นโบราณที่เรากับเพื่อน(Kyokikuma) ช่วยกันปั้นๆ ฟลัดๆ ใส่กันค่ะ ไม่ใช่ผลงานการแต่งของเราคนเดียว
ที่จริงมีอีกหลายคู่ แต่มาลงแยกสำหรับคู่นี้ไว้ เพราะมีส่วนที่เราแต่งอยู่น่ะค่ะ *me จริงๆ เมากาวเก็บไว้อ่านส่วนตัวค่ะ ฮา
狐の嫁入り
- Kitsune no Yomeiri -
ม่านฝนเบาบาง อ่อนใส ของวารีในช่วงรอยต่อของปลายฤดูใบไม้ร่วงย่างสู่ฤดูหนาว ก่อให้เกิดมวลอากาศเย็นชื้น
ไอน้ำมากมายในอากาศเช่นนี้ ส่งผลโดยตรงกับปีกแสนบอบบางราวปีกแมลงปอของนกแสงจันทร์เป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้นแล้ว นกน้อยตัวสวยที่มักโผบินด้วยความอยากเห็นใคร่รู้ตนนั้น จึงได้อยู่นิ่งๆ เก็บปีกเอนกาย
ลง นอนในอ้อมกอดของท่านแม่ทัพเหมันต์ด้วยท่าทีออดอ้อนน่าเอ็นดูอย่างผิดวิสัยเลยทีเดียว
คิดถึงเหลือเกิน
สุ้มเสียงอ่อนหวานกล่าว พลางถอดถอนหายใจแผ่วเบา มือน้อยเกลี่ยเล่นกับเครื่องประดับบนอาภรณ์สีขาวพิสุทธิ์ของร่างที่อิงแอบแนบชิด
ปลายนิ้วบอบบางราวกิ่งดอกท้อนั่นก็เลื่อนขึ้นแตะริมฝีปากแผ่วเบา ดวงตาใสที่เงยสบนั้นแย้มยิ้มอย่างอ่อนหวาน แขนเรียวหยัดกายขึ้นอย่างเชื่องช้า
ริมฝีปากอ่อนนุ่มที่ค่อยๆ แตะแต้มบนผิวสากกร้านนอกร่มผ้าของแม่ทัพหนุ่ม เรื่องราวแสนยุ่งเหยิงของครอบครัวเจ้าหงสาที่ได้รับฟังหลังจากนั้น
เลื่อนลอยและไม่ปะติดปะต่อสักเท่าไร่นัก จากสติที่จางหายไปทุกขณะของผู้ฟัง
狐の嫁入り
- Kitsune no Yomeiri -
....ครอบครัวของข้านั้น จะว่าใหญ่ก็ใช่ที่ ในบรรดาพี่น้องทั้งหมดที่ถือกำเนิดมามีแต่เพียงข้าที่เป็นสัตว์สี่ขา ตามลักษณะของมารดา ที่ต่างเผ่า
พวกเราเป็นพี่น้องที่ถือกำเนิดจากบิดาเดียวกัน แต่มารดาทั้งห้านั้นมาจากคนละตระกูล เพื่อสืบทอดสายเลือดสำคัญให้คงอยู่ต่อไป และสามารถดูแลผู้อื่นดังเช่นที่ท่านพี่คนโตผู้เป็นเจ้าแห่งปักษาได้พิทักษ์ดูแลแดนใต้ทั้งหมดในเวลานี้
ส่วนท่านพี่ผู้ถือกำเนิดจากสายเลือดมังกร ก็เป็นผู้ดูแลแดนตะวันออก และตัวข้าก็ถูกส่งมาอยู่กับท่านด้วย
....สภาพแวดล้อมในแดนใต้ ไม่ค่อยเหมาะที่ข้าจะใช้ชีวิตอยู่เท่าไหร่นัก....แม้จะรำลึกถึงน้องสาวคนเล็กที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้ไม่นาน ข้าก็ต้องรีบเร่งเดินทางจากมา เมื่อถึงกำหนด
...ข้าปรารถนาที่จะได้อยู่กันพร้อมหน้ากับทุกคน....แม้ว่ามันจะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ตาม...... น่าเสียดายเหลือเกิน ที่โอกาสนั้นหาได้ยากเต็มที
....เรื่องราวในวันวาน ข้าจดจำไว้ได้มากมายทั้งสุขและเศร้าคละเคล้ากันไป ในศาลสักการะแห่งแดนตะวันออกข้าใช้ชีวิตอยู่กับบาทบริจาริกาของท่านพี่และคอยบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ เอาไว้มากมาย เป็นเครื่องแก้เหงาคลายเบื่อ....
เรื่องที่น่าขบขันที่สุดที่ข้าเขียนจากคำบอกเล่าคือ การหนีออกจากบ้านของมิคาซึกิ ....แม่นกแสงจันทร์ตัวน้อยที่ข้าจำภาพได้แต่ตอนนางยังเล็กเท่านั้น......
'มิคาซึกิ' ผู้นั้น คือนกแสงจันทร์ที่ท่านพี่กล่าวว่างดงามที่สุดในบรรดานกแสงจันทร์ทั้งปวง กลิ่นกายหอมหวานติดตัวคล้ายดอกไม้ในยามราตรีกรุ่นกำจาย
เส้นผมสีเข้มของนางนุ่มลื่น และดวงตางามซุกซนใคร่รู้ไปเสียหมด....คือสิ่งที่ข้าจำได้
...น้องสาวผู้นั้น เติบใหญ่เพียงใดกันแล้วนะ ?
....ได้ฟังเพียงแต่ท่านพี่ใหญ่กริ้วโกรธจนล้มป่วย นางก็ยังดื้อดึงไม่ยอมกลับ..... ข่าวความรักใคร่เสน่หาที่นางมีให้บุรุษผู้หนึ่งคงยิ่งพาให้ท่านพี่ผู้กล้าแกร่งท่านนั้นยิ่งเดือดดาลเป็นแน่.....
"............"
"เอ๋ ?? ลูกจิ้งจอก ??"
"........ขอโทษที...มันขาเจ็บ ช่วยดูให้หน่อยได้ไหม"
...วันที่โลกของข้าเริ่มเปลี่ยนแปลงมาถึงในที่สุด
เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ดูราวกับเพิ่งผ้านพ้นวัยเยาว์มาได้ไม่นาน อุ้มจิ้งจอกน้อยตัวหนึ่งที่นอนครางครวญในอ้อมแขนมาหาข้า
...นาคิทสึเนะ....
นาคิทสึเนะเป็นคนไม่ค่อยพูด เขาดูเหมือนนักเดินทางที่ไม่ได้อยู่ที่ไหนเป็นหลักแหล่ง และไม่เคยบอกเล่าว่าเป็นคนของแดนใด ข้าจึงไม่ทราบมาก่อนว่าเขาเป็นทายาทสายตรงของแดนตะวันตก....ที่พวกเราแทบไม่เคยไปเยือน
เขาฝากจิ้งจอกน้อยให้ข้าดูแล และจะมาเยี่ยมทุกวัน วันละไม่นานนัก แต่ก็ใส่ใจห่วงใยเจ้าตัวน้อยนี้อย่างยิ่ง
ไม่นานนักเมื่อแผลของจิ้งจอกน้อยดีขึ้น
ข้าก็คิดว่าเขาจะออกเดินทางต่อไปพร้อมกับพามันไปด้วย...แต่เขากลับมอบมันให้ข้า กล่าวคำลาสั้น ๆ แล้วจากไป
...สิ่งที่เคยพบเห็น คุ้นเคยอยู่ทุกวัน....เมื่อไม่มีสิ่งนั้นแล้ว ข้าจึงได้รู้สึกเหมือนขาดอะไรไปสินะ.... คงเป็นเรื่องธรรมดาของการลาจากไปแล้ว
....อีกสี่เดือนหลังจากนั้น นาคิทสึเนะกลับมาเยี่ยมข้าอีกครั้ง....เขาไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย แต่กลับทักว่าข้าดูผอมซูบลงไปมาก.....
ข้าผอมลงขนาดนั้นเลยหรือ ? เพียงแต่ไม่รู้สึกอยากอาหารเท่านั้นเอง....แต่ในยามที่มีเพื่อนสนทนากันยามค่ำ ร่วมทานอาหารกันก่อนจากกลับทำให้รู้สึกดีจนข้าสามารถกินอะไรได้มากกว่าเดิมเยอะ....
นาคิทสึเนะบอกว่า...ข้าทำตัวเหมือนสัตว์ที่เหงาเพราะไม่มีคนดูแลอย่างใกล้ชิด......
...เด็กบ้า......
เขาพักอยู่ราว ๆ หนึ่งอาทิตย์ และกล่าวคำลาอีกครั้ง....ครานี้มองหน้าข้าอยู่นานก่อนจะเอ่ยปากสัญญาว่าอีกสี่เดือนจะกลับมาเยี่ยมใหม่....
.....อย่าทำสีหน้าเช่นนั้น ข้าไม่ได้ทิ้งเจ้าไปไหน......
....นี่ข้า...........
...ทำสีหน้ายังไงให้เขาเห็นกัน.....
หลังจากคืนนั้นข้าก็นับวันรออีกสี่เดือนให้หลัง เพื่อที่จะได้พบเขาอีกครั้ง .....ระหว่างนั้น ได้รับข่าวว่ามิคาซึกิกำลังจะมีนกแสงจันทร์ตัวน้อย ๆ
ข้าทั้งตกใจและยินดีอย่างยิ่ง...ครอบครัวของเราไม่มีข่าวน่ายินดีเช่นนี้มาหลายปีแล้ว....แต่ข้าคิดว่าท่านพี่ใหญ่ อาจจะ....ไม่ค่อยยินดีเท่าไหร่
ข้าอยากไปเยี่ยมเยือนนางด้วยตัวเองเหลือเกิน ฟังเล่าว่านกแสงจันทร์ตัวน้อยนั่นน่าเอ็นดูยิ่งนัก สัมผัสยามได้โอบอุ้มในอ้อมแขนเป็นความรู้สึกดียิ่ง
หากข้าก็ยังไม่กล้าเอ่ยปากขอท่านพี่.... ว่าจะไปหานาง และอีกใจหนึ่งนั้น ข้ากำลังเฝ้ารอที่จะได้พบเด็กคนนั้นที่สัญญาว่าจะกลับมา
เฝ้ารอผู้ที่เอ่ยว่า 'ไม่ได้ทิ้ง' ผู้นั้น....... ข้าเองยังนึกสงสัย ว่าตนทำสีหน้าเช่นไร ตอนเขาจะไปกันแน่?
นี่... คอนโนะสุเกะ ตอนนั้นข้า...
.....นาคิทสึเนะกลับมาเยี่ยมข้าอีกครั้ง......
ข้ารู้สึกว่าสี่เดือนมันนานเป็นปีจนแทบจะทำให้ความกระวนกระวายในใจเพิ่มพูนขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
เขาเดินเข้ามาเงียบ ๆ เหมือนเช่นปกติ แต่ข้ากลับรู้สึกว่าเขาสูงขึ้นกว่าเดิมอีกเล็กน้อย....ไหล่ที่ดูกว้างขึ้น และ....อ้อมแขนที่อุ่นอย่างยิ่ง…
.......อา....เป็นอ้อมกอดที่อบอุ่นมากจนทำให้ข้าร้องไห้ในรอบหลายปีเลย....
นาคิทสึเนะนั่งนิ่งปล่อยให้ข้ากอดเขาจนพอใจ จิ้งจอกน้อยตัวนั้นเดินวนไปมาราวกับจดจำกลิ่นได้ มันเข้ามาคลอเคลียและซุกนอนอยู่ข้าง ๆ ตักของเขา ในขณะที่อีกฝั่งหนึ่งข้ายึดครองไว้
...เหตุใดจึงรู้สึกยินดี....
....ข้ารู้สึกว่าครั้งนี้ มีอะไรที่มากกว่าความเหงาเสียแล้ว ที่ทำให้รู้สึกเหมือนจะขาดใจยามลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วไม่พบเขา.....
ข้า..... ไม่รู้เลยว่าความรู้สึกนี้คืออะไร มากกว่าความกระวนกระวาย ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยแม้แต่น้อย ยามที่เห็นความว่างเปล่าข้างตัว
เจ็บ.... ข้าเจ็บราวใจจะขาดลงทั้งที่ไม่มีบาดแผลอะไรแม้แต่น้อย ครานี้ไม่มีคำบอกลา ไม่มีสัญญาว่าจะกลับมาด้วยซ้ำ
ราวกับเขา.... หายไปเฉยๆ ...................
"....ไปกับข้าไหม..."
...เขาถามข้าในคืนหนึ่งที่จู่ ๆ ก็ปรากฎตัวขึ้นมาในสภาพเหนื่อยอ่อน.....ดวงตาทั้งสองแจ่มชัดเป็นประกาย เท่าที่เห็น.......
ดูเหมือนจะสูงขึ้นอีกนิดหน่อยแล้ว....
"ไปไหน?"
....ข้าได้แต่มองเขาด้วยความมึนงง และไม่เข้าใจว่าเขาต้องการสิ่งใด.....
ฝ่ามืออุ่นกุมมือข้าไว้อย่างอ่อนโยน....หากแต่ข้ากลับรู้สึกปวดแปลบในอก เมื่อเขาเอ่ยคำพูดต่อมา
"....หลังจากนี้....คงกลับมาไม่ได้อีกแล้ว....."
....นาคิทสึเนะไม่ใช่คนพูดล้อเล่น ส่วนมากเขาจะยิ้มรับ หรือเงียบตอบ....เขาพูดเช่นนี้ ข้า......
"...ไปกับข้า....ข้า.....อยากให้เจ้าอยู่ด้วย"
"................"
อ้อมกอดนั้นยังอบอุ่นเช่นวันวานที่ผ่านมา...เป็นเช่นนี้ จะดีแล้วหรือที่ข้ายอมให้เขาสวมกอดแบบนี้....ข้าต้องตัดสินใจหรือ....
ในวินาทีที่ข้าสับสน ข้ารำลึกถึงนาง....นกแสงจันทร์ตัวน้อยของพวกเราที่ยอมละทิ้งทุกอย่างติดตามบุรุษผู้หนึ่งไป....มิคาซึกิคิดเช่นไร ณ เวลานั้น
.....นางจะรู้สึกลังเลลำบากใจแบบข้าหรือไม่.....
"นาคิ....ข้า....ข้า....."
"....ข้าอยากพาเจ้ากลับบ้าน....ที่นั่น.......อาจจะวุ่นวายสักนิด....แต่เจ้าจะไม่เหงา....โค........ไปกับข้า..."
...เขากอดข้าแน่นขึ้นอีก....
นาคิ....โค.......มีเพียงเราสองคนที่แลกเปลี่ยนนามเรียกขานกันเช่นนี้.....ข้ายอมให้เขาเรียกชื่อนั้น เช่นเดียวกับที่เขายินดีให้ข้าเรียกชื่อของตน
.....ควรจะทำเช่นไร.....
....ข้าควรจะทำเช่นไรดี.....
การเดินทางจากแดนตะวันออกสู่แดนตะวันตกนั่น จะว่าง่ายดายก็พูดไม่ไม่เต็มปาก หากจะกล่าวว่ายากลำบากก็เกินจริงไป
กระนั้นสำหรับผู้ที่ไม่เคยย่างกรายเกินกว่าขอบเขตของศาลสักการะ ทิวทัศน์แวดล้อมรายทางล้วนตื่นตาตื่นใจไปหมดทุกสิ่งอย่าง
สัตว์เล็กสัตว์น้อยที่ไม่เคยได้สัมผัสแตะต้อง เนื่องด้วยท่านพี่รองนั่นห่วงกังวลไปสารพัดกลัวจะทำอันตรายแก่ข้า สายน้ำเย็นของลำธารที่ข้าได้แต่มอง
‘ระวัง.... เจ้าไม่เคยเล่นน้ำ’
‘อืม... น้ำเย็นดีจริง ขอบคุณนะนาคิ’
นาคินิ่งไปสักพัก ก่อนข้าจะวางมือลงบนฝ่ามือที่ยื่นมาประคอง เขาจับจูงค่อยพาเดินอย่างช้าๆ สายน้ำเย็นไหลผ่านขาไป บางมีลูกปลาเล็กปลาน้อยมาบ้างให้สะดุ้ง
แต่มือที่ค่อยโอบไว้ รั้งเข้าชิดจนข้าพยุงตัวอยู่ไม่ล้มลงไปกับพื้นน้ำตื้น เขาว่าแม้จะเป็นกรวดหินกลมมน หากล้มลงคงได้บาดเจ็บกัน จึงได้รั้งตัวข้าไว้แนบชิดแผ่นอก ไหล่ที่กว้างขึ้นยามกอดไว้หลวมๆ อบอุ่นจนทำให้รู้สึกดี
แต่ถึงจะระมัดระวังเช่นไร ผู้ที่ไม่ค่อยได้เดินเหินเช่นข้าก็สะดุดล้มจนได้ แต่ทันรับรู้ถึงความเจ็บปวดเขาที่คอยประคองไว้ตลอดก็อุ้มข้าขึ้นซะก่อน
เมื่อขาลอยขึ้นจากพื้นกะทันหันทำให้ข้าตกใจเสียจนผวากอดอีกฝ่ายซะแน่น
เอ่อ... ข้าขอโทษ หนักมั้ย? ข้าถามอย่างเกรงใจ
ขนาดตัวข้ากับเขานั้นสูงไล่เลี่ยกัน แต่นาคินั้นไม่ได้ตอบอะไร แขนที่ช้อนรองใต้ข้อพับขาทั้งสองข้างของข้าไม่สั่นเลยแม้แต่น้อย
เขาแข็งแรงกว่าที่ข้าคิดไว้ซะอีก... ดวงตาสีแดงใสราวกับทับทิมจ้องมอง เด็กหนุ่มที่วางตนลงบนพื้นแห้งสะอาดแล้วค่อยๆ โน้มตัวลงบีบชายฮากามะสีแดง
ด้วยความรีบเร่งในการออกจากศาลสักการะ ตัวข้าจึงสวมใส่เพียงกิโมโนตัวนอกและไม่มีซับใน ท่อนล่างมีแค่ฮากามะที่ผูกอย่างลวกๆ ไว้
กระทั่งถุงเท้าก็ไม่ทันใส่ มีเพียงรองเท้าแตะติดตัวมาเท่านั้นเอง ยามที่ปลายนิ้วเย็นเฉียบของนาคิแตะข้อเท้าข้าจึงอดไม่ได้ที่จะสะดุ้งอีกครั้ง
- นิ้วเท้าแดงไปหมด... คงยังไปไหนไม่ได้อีกสักพัก เขากล่าว พร้อมกับความมืดที่ค่อยๆ โรยตัวอย่างช้าๆ รอบกาย ในป่ามืดมิดจนแทบไม่เห็นสิ่งใดเลย
หากปราศจากแสงของจันทร์เพ็ญที่อาบไล้อ่อนจาง ทอทอดลงตามแนวไม้ ดวงดาวนับพันพร่าพรายส่องสว่างบนผืนฟ้าสีเข้มราวหิ้งห้อยในสวน
“ดาว... ข้าไม่เคยเห็นดาวเต็มฟ้าขนาดนี้มาก่อนเลย”
“บนศาลเจ้า?”
“ดึกแล้วข้าได้แต่อยู่ในห้องเท่านั้น พี่รองไม่อนุญาตให้ข้าออกมาเดินเพียงลำพัง”
คืนแล้วคืนเล่า ข้านั่งมองดวงดาวและหลับลงในอ้อมแขนของนาคิ มือของเขาเย็นมากก็จริง แต่กลับมีอ้อมกอดที่อบอุ่นเสียจนข้าสามารถหลับได้อย่างสนิทใจและคุ้นชินกับสัมผัสเหล่านี้มากขึ้นทุกที
บางครั้งปลายนิ้วนั้นก็จะแตะลงข้างแก้ม ค่อยๆ เกลี่ยไล้ไปตามผิวข้า ก่อนใบหน้านิ่งเฉยดวงหน้าจะโน้มลงมา
ลมหายใจอุ่นระรินต้องกัน คราแรกริมฝีปากนั้น... แตะลงบนหน้าผากแล้วกล่าวราตรีสวัสดิ์ ต่อมาจึงเป็นข้างขมับ มาครานี้... กลับไม่หยุดเพียงเท่านั้น
สัมผัสอุ่นชื้นที่ทาบทับลงบนริมฝีปากให้ความรู้สึกไม่คุ้นเคย แล้วเอ่ยว่า
ข้าต้องการเจ้า......
นาคิมองข้า ด้วยสายตาแบบเดียวกับคราวนั้นที่ถาม
เป็นสายตาที่คาดหวังและเตรียมที่จะผิดหวัง...... ข้ายินยอมให้เขาสวมกอดและนอนหลับอย่างอุ่นใจในอ้อมแขนนั้น
ไม่รู้.... นาคิ ข้าไม่รู้....
ไม่เป็นไร.... ไม่ต้องกลัว....
อ้อมแขนที่โอบกอดอยู่กระชับแน่นขึ้นอีก
ลมกลางคืนหอบความหนาวเย็นมา กลางป่าที่ไร้ที่กำบังใด มีเพียงสองร่างที่เกาะเกี่ยวกันแลกเปลี่ยนความอบอุ่นจากผิวกายสู่ผิวกาย
เสียงแผ่วหวิวท่ามกลางราตรีในริมฝั่งแม่น้ำนั้นคือชื่อของคนสองคนที่เฝ้ากระซิบนามที่เอ่ยเรียกเพียงกันและกัน
>> Part 1.2 <<
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น